CA-R-BON (ยาแก้ท้องเสีย)

สรรพคุณของยาคาร์บอนแก้ท้องเสีย

  • ดูดซับสารเคมี สารพิษ และเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ที่ร่างกายรับเข้ามา ไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
  • ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ถ่ายเหลว ท้องร่วง
  • ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด เนื่องมาจากอาหารไม่ย่อย หรือการปวดท้องเนื่องจากมีแก๊สในกระเพาะปริมาณมาก เฉพาะในกรณีที่แพทย์สั่งคาร์บอนนี้ไปใช้สำหรับการบรรเทาอาการต่าง ๆ ร่วมกับยาชนิดอื่น

เวลาและปริมาณในการกินคาร์บอนแก้ท้องเสีย

  • กินตอนไหน : ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกินคาร์บอนก็คือช่วงเวลาที่ท้องว่าง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาหลังอาหารเป็นเวลา 2 ชั่วโมง หรือ ช่วงเวลาก่อนอาหารเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
  • กินกี่เม็ด : โดยปกติแล้วนั้นคาร์บอนแก้ท้องเสียควรกินครั้งละ 3 – 4 เม็ด แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูเอกสารกำกับยาประกอบด้วย เพราะคาร์บอนที่มีขายในท้องตลาดนี้มีหลายยี่ห้อ โดยแต่ละยี่ห้อก็มีปริมาณคาร์บอนที่แตกต่างกันออกไป
  • ความถี่ในการกิน : คาร์บอนนี้ควรกินทุก ๆ 4 – 6 ชั่วโมง หรือ วันหนึ่งควรกินประมาณ 2 – 3 ครั้ง และก็เช่นเดียวกับกรณีข้างต้นที่ต้องพิจารณาเอกสารกำกับยาประกอบด้วย

ข้อควรระวังหลังกินคาร์บอนแก้ท้องเสีย

         หลังจากที่เราทราบกันแล้วว่า ยาคาร์บอนสามารถช่วยในเรื่องของการแก้อาการท้องเสีย ซึ่งจะเป็นการช่วยดูดซับส่วนของสารเคมี หรือสารพิษ หรือแม้แต่เชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ  และโดยปกติแล้วการกินคาร์บอนแก้ท้องเสียนั้น ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อร่างกาย แต่การกินยาคาร์บอนก็ยังมีข้อควรระวังหลังการกินตัวยาเข้าไป

ข้อควรระวังหลังการกินยาคาร์บอน

  • เมื่อกินคาร์บอนเข้าไปจะไม่มีการดูดซับสารพิษหรือสารเคมีหรือแบคทีเรียต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย แต่คาร์บอนจะดูดซับสารต่าง ๆ ข้างต้นแล้วขับออกมาทางอุจจาระ จึงทำให้อุจจาระมีสีดำขึ้นได้
  • เมื่อกินคาร์บอนแล้วต้องกินยาอื่นร่วมด้วย ควรเว้นระยะเวลาหลังการกินคาร์บอนก่อนการกินยาอื่นเป็นเวลาอย่างน้อยประมาณ 2 ชั่วโมง
  • เมื่อกินคาร์บอนแล้วต้องการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนมอย่างโยเกิร์ตหรือไอศกรีมก็ควรเว้นระยะเวลาหลังการกินคาร์บอนก่อนดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนมเป็นเวลาอย่างน้อยประมาณ 2 ชั่วโมง

กลุ่มบุคคลที่ไม่ควรกินผงถ่านคาร์บอน

  1. สตรีมีครรภ์
  2. สตรีให้นมบุตร
  3. ผู้ป่วยที่มีภาวะลำไส้อุดตัน
  4. ผู้ที่มีบาดแผลในลำไส้หรือในกระเพาะอาหาร
  5. ผู้ป่วยที่กำลังได้รับการรักษาสารพิษไม่ว่าจะเป็นกรดแก่ ด่างแก่ สารละลายเกลือแร่ สารลิเทียม Alcohol หรือแม้แต่ไซยาไนต์
  6. ผู้ที่เพิ่งได้รับการผ่าตัดช่องท้อง

Chlorpheniramine Maleate 4 mg.(ยาแก้แพ้)

คลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine: CPM) เป็นยาบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นจากโรคภูมิแพ้ ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม น้ำตาไหล หรืออาการคัน โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารฮีสทามีน (Histamine) ที่ระบบภูมิคุ้มกันสร้างขึ้นและก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อภูมิแพ้ นอกจากนี้แพทย์อาจนำมาใช้ในการรักษาอาการอื่น ๆ ตามดุลยพินิจแพทย์

เกี่ยวกับยาคลอเฟนิรามีน

กลุ่มยายาต้านฮีสทามีน (Antihistamine)
ประเภทยายาหาซื้อได้เอง 
สรรพคุณรักษาอาการที่เกิดจากโรคภูมิแพ้ ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่
กลุ่มผู้ป่วยผู้ใหญ่ เด็กและผู้ใหญ่
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตรCategory B จากการศึกษาในสัตว์ ไม่พบความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรืออาจพบผลไม่พึงประสงค์ในสัตว์ แต่ยังไม่พบความเสี่ยงในมนุษย์เมื่อใช้ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ รวมทั้งไม่มีหลักฐานทางการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า มีความเสี่ยงเมื่อใช้ในช่วงหลังเดือนที่สามเป็นต้นไป ผู้ที่กำลังวางแผนจะตั้งครรภ์ สงสัยว่าตั้งครรภ์ กำลังตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา เพราะตัวยาอาจซึมผ่านน้ำนมแม่จนส่งผลกระทบต่อทารก และอาจชะลอการผลิตน้ำนมแม่ได้
รูปแบบของยายารับประทาน ยาฉีด

คำเตือนในการใช้ยาคลอเฟนิรามีน

เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาคลอเฟนิรามีน รวมถึงยาและสารอื่น ๆ เพราะอาจส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติทางสุขภาพ เช่น โรคตับ โรคไต โรคปอด หัวใจ และหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ โรคเบาหวาน กระเพาะอาหารหรือลำไส้อุดตัน กระเพาะปัสสาวะอุดตัน เนื้องอกที่ต่อมหมวกไต ต่อมไทรอยด์ทำงานสูงผิดปกติ และโรคลมชัก 
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากใช้ยานี้ก่อนเข้ารับการรักษาทางการแพทย์และทันตกรรมใด ๆ 
  • ผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคต้อหินมุมปิด กระเพาะอาหารหรือลำไส้อุดตัน ปัสสาวะไม่ออก และโรคต่อมลูกหมากโตไม่ควรใช้ยานี้
  • ผู้ป่วยควรระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะหรือการทำงานที่ต้องอาศัยความตื่นตัวอยู่เสมอ เนื่องจากยาอาจส่งผลให้ง่วงซึม ตาพร่า หรือเวียนศีรษะได้
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงมากขึ้น
  • ผู้ป่วยควรหยุดรับประทานยานี้เป็นเวลา 7 วันก่อนเข้ารับการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง เนื่องจากตัวยาอาจส่งผลให้การตอบสนองลดลงและผลการทดสอบคลาดเคลื่อน
  • เด็กและผู้สูงอายุอาจไวต่อการเกิดผลข้างเคียงมากกว่าช่วงวัยอื่น จึงควรใช้ยาด้วยความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
  • ไม่ควรใช้ยาคลอเฟนิรามีนในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ยกเว้นแพทย์สั่ง

ปริมาณการใช้ยาคลอเฟนิรามีน

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

อาการแพ้
ตัวอย่างการใช้ยาคลอเฟนิรามีน เพื่อรักษาอาการน้ำมูกไหล จาม น้ำตาไหล หรืออาการคันจากโรคภูมิแพ้ ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่  

ยาชนิดรับประทาน

เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 2 ปี รับประทานยาในปริมาณ 1 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

เด็กอายุ 2–5 ปี รับประทานยาในปริมาณ 1 มิลลิกรัม ทุก 4–6 ชั่วโมง ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อวัน

เด็กอายุ 6-12 ปี รับประทานยาในปริมาณ 2 มิลลิกรัม ทุก 4–6 ชั่วโมง ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 16 มิลลิกรัมต่อวัน

เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ รับประทานยาในปริมาณ 4 มิลลิกรัม ทุก 4–6 ชั่วโมง ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 24 มิลลิกรัมต่อวัน 

ยาชนิดฉีด 

เด็กอายุ 1 เดือนขึ้นไปแต่ไม่ถึง 1 ปี ฉีดยาในปริมาณ 0.25 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ครั้ง 

เด็กอายุ 1–5 ปี ฉีดยาในปริมาณ 0.2 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ครั้ง หรือ 2.5–5 มิลลิกรัม/ครั้ง

เด็กอายุ 6–12 ปี เด็กอายุ 6–12 ปี ฉีดยาในปริมาณ 0.2 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ครั้ง หรือ 2.5–5 มิลลิกรัม/ต่อครั้ง

เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ฉีดยาในปริมาณ 0.2 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ครั้ง หรือ 10–20 มิลลิกรัม/ครั้ง

ผู้ใหญ่ ฉีดยาในปริมาณ 10–20 มิลลิกรัม/ครั้ง เข้าทางกล้ามเนื้อ ใต้ผิวหนัง หรือค่อย ๆ ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำโดยใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 นาที ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อวัน

การใช้ยาคลอเฟนิรามีน

ผู้ป่วยควรรับประทานยาตามปริมาณและระยะเวลาที่แพทย์กำหนดหรือตามฉลากยาเท่านั้น ไม่ควรใช้เกินปริมาณหรือระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ยาคลอเฟนิรามีนอาจรับประทานพร้อมมื้ออาหารหรือระหว่างท้องว่างก็ได้ ยาชนิดน้ำควรใช้ช้อนหรือถ้วยตวงยาที่มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ในการรับประทาน ไม่ควรใช้ช้อนทั่วไป

ผู้ป่วยที่ลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้ถึงช่วงเวลาของยารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาตามเวลาปกติโดยไม่เพิ่มปริมาณยาเป็นสองเท่า ในกรณีที่อาการยังไม่ดีขึ้น ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันนานเกิน 7 วัน หากดูแลตัวเองด้วยการใช้ยานี้แล้วยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์

ปฏิกิริยาระหว่างยาคลอเฟนิรามีนกับยาอื่น

หากผู้ป่วยกำลังใช้ยาที่แพทย์สั่งจ่าย ยาที่หาซื้อได้เอง วิตามิน สมุนไพรบางชนิด และผลิตภัณฑ์ใด ๆ อยู่ ควรแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบก่อนใช้ยา เพราะยาคลอเฟนิรามีนอาจทำปฏิกิริยากับยาหรือผลิตภัณฑ์อื่นจนทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลงหรือก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมา โดยเฉพาะยาต่อไปนี้ 

  • ยาแก้หวัดหรือยาแก้แพ้ชนิดอื่น ๆ 
  • ยารักษาโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรืออาการชัก
  • ยาคลายกล้ามเนื้อ
  • ยาแก้ปวดชนิดรุนแรงที่ก่อให้เกิดการเสพติด
  • ยานอนหลับ 
  • ยากล่อมประสาท 

นอกจากนี้ ห้ามใช้ยาคลอเฟนิรามีนหากกำลังใช้ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่มเอ็มเอโอไอ (Monoamine Oxidase Inhibitor: MAOI) ในช่วง 14 วันก่อนหน้า

ผลข้างเคียงของยาคลอเฟนิรามีน

หากผู้ป่วยพบผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก อาการบวมที่ลิ้น ปาก ริมฝีปาก และใบหน้า มีผื่นแดง ลมพิษ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ ปัสสาวะขัดหรือปัสสาวะไม่ออก ปวดศีรษะ มีอาการสั่น นอนไม่หลับ การมองเห็นผิดปกติ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม ประสาทหลอน หรือมีอาการชัก ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

นอกจากนี้ การใช้ยาคลอเฟนิรามีนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก ไม่อยากอาหาร ท้องเสีย ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ตาพร่า ง่วงซึม นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย วิตกกังวล ตกใจง่าย ปากแห้ง จมูกแห้ง หรือคอแห้ง ซึ่งหากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือมีอาการแย่ลงก็ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

Salolet Menthol Mixture (ยาธาตุน้ำขาว)

ยาธาตุน้ำขาว
สรรพคุณของยาธาตุน้ำขาว ใช้รับประทานเพื่อทำลายเชื้อโรคในลำไส้ รักษาอาการอักเสบของลำไส้ แก้ปวดท้อง แก้ท้องเสีย (อาการท้องเสียจากการติดเชื้อแบบไม่รุนแรง) แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ช่วยขับลม นอกจากนี้ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหารเพื่อการทำลายเชื้อโรคในลำไส้ หรือควบคุมเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารที่เป็นต้นเหตุทำให้กระเพาะอาหารมีกรดมาก (แต่ยานี้ไม่ได้มีส่วนช่วยในการลดกรด)

ข้อควรระวังของการใช้ยาธาตุแก้ท้องเสีย
1. ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยาแอสไพริน ถ้ามีประวัติแพ้ยาแอสไพรินก็อาจแพ้ยาธาตุแก้ท้องเสียได้เช่นกัน เพราะมีโครงสร้างยาคล้ายกัน
2. ผู้ที่แพ้สารซาลิไซเลต (Salicylate) ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาชนิดนี้
3. หญิงมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา เนื่องจากตัวยามีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่ จึงควรใช้ยาด้วยความระมัดระวัง
4. ไม่ควรรับประทานยาธาตุแก้ท้องเสียพร้อมกับยาชนิดอื่นภายใน 2-4 ชั่วโมง เพราะอาจดูดซึมฤทธิ์ยาตัวอื่นจนทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่
5. ยามีส่วนผสมของเมนทอล (Menthol) อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนได้

Antacil (ยาลดกรด)

คำอธิบาย

สำหรับลดกรดและลดแก๊ส เคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำใส้ส่วนต้น

บรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด จุกเสียดแน่น อาหารไม่ย่อย แสบร้อนกลางอก

อันเนื่องจากการไหลย้อนของกรดจากภาวะมีกรดมากเกินในกระเพาะอาหาร

โดยไม่ให้เกิดอาการท้องผูก

ส่วนประกอบ : 

ปริมาณต่อ 15 ml.

1. ALUMINIUM HYDROXIDE COMPRESSED GEL 960 mg.

2. MAGNESIUM HYDROXIDE 330 mg.

3. SIMETHICONE (AS SIMETHICONE EMULSION) 60 mg.

ขนาดรับประทาน :

ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 4-6 ครั้ง หลังอาหาร และก่อนนอน

เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด ควรรับประทานหลังอาหารประมาณ 1-2 ชั่วโมง

เลขที่ทะเบียนยา : 2A 356/29

Paracetamol (พาราเซตามอล)

ข้อควรรู้และข้อควรระวังก่อนใช้ยา

  1. ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติแพ้ยาพาราเซตามอล
  2. ห้ามใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดที่แนะนำในฉลาก เอกสารกำกับยา และควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเท่านั้น หากใช้ยาเกินขนาดที่แนะนำ อาจเกิดพิษร้ายแรงและตับวายจนทำให้เสียชีวิตได้
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่นที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เพราะอาจทำให้ได้รับยาเกินขนาด
  4. ถ้ามีไข้สูง (อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 39.5 เซลเซียส) ให้รีบไปพบแพทย์
  5. หากท่านมีโรคประจำตัวเป็นโรคตับ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้ เพราะอาจเกิดอันตรายจากยานี้ได้ง่ายขึ้น
  6. กินยาพาราเซตามอลก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
  7. เป็นยารักษาตามอาการ หากไม่มีอาการปวดหรือไข้ไม่จำเป็นต้องกินยา
  8. การกินยาพาราเซตามอลติดต่อกันนานเกินไป ขนาดยามากเกินไป หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย อาจส่งผลให้ตับทำงานบกพร่อง และอาจเกิดภาวะตับอักเสบหรือตับวายได้

ขนาดยาที่แนะนำให้ใช้ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
          ในประเทศไทย ยาพาราเซตามอลมีหลายรูปแบบ และหลากหลายความแรง เช่น ในผู้ใหญ่ที่ใช้เป็นยาเม็ด โดยในยา 1 เม็ด อาจประกอบด้วยตัวยาพาราเซตามอลขนาด 325 มิลลิกรัม หรือ 500 มิลลิกรัม และในเด็กที่ใช้เป็นยาน้ำ โดยในยาน้ำ 1 ช้อนชา (5 ซีซี) อาจประกอบด้วยยาพาราเซตามอลขนาด 120 มิลลิกรัม 160 มิลลิกรัม หรือ 250 มิลลิกรัม เป็นต้น

          ขนาดยาพาราเซตามอลที่ถูกต้อง ควรกินตามน้ำหนักตัว โดยในการกินยา 1 ครั้ง แนะนำให้ใช้ยาขนาด 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ถ้าหากนำน้ำหนักตัวมาคำนวณแล้วเกินกว่า 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) แปลว่าใช้ยาเกินขนาด ซึ่งอาจทำให้เกิดพิษร้ายแรงต่อตับได้

  • ในผู้ใหญ่ แนะนำให้กินครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง ไม่ควรกินเกิน 8 เม็ดต่อวัน หรือ 4 กรัม/วัน และไม่ควรกินยาต่อเนื่องเกิน 5 วัน
  • ในเด็ก หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อย หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคตับ อาจจำเป็นต้องปรับขนาดยา ดังนั้นแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนกินยา เพื่อจะได้กินยาในขนาดที่ถูกต้อง เหมาะสม ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

อันตรายจากยาพาราเซตามอลที่ไม่ควรมองข้าม

  • หากกินแล้วเกิดอาการ บวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลมพิษ หน้ามืด เป็นลม แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ผื่นแดง ตุ่มพอง หรือผิวหนังหลุดลอก อาจเป็นอาการแพ้ยา แนะนำให้หยุดยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที
  • หากจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องแล้วเกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้มขึ้น ซึ่งเป็นอาการแสดงเมื่อได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด แนะนำให้หยุดยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับยาพาราเซตามอล
          ในผู้ป่วยบางรายอาจมีความเข้าใจผิด กินยาพาราเซตามอลทั้งที่ไม่มีอาการผิดปกติ เช่น กินยาดักไว้ก่อน เพื่อป้องกันอาการไข้ ถือเป็นการใช้ยาที่ไม่สมเหตุผล และไม่ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษา ทั้งยังอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงจากยาได้ ดังนั้นหากยังไม่มีอาการไข้ ไม่จำเป็นต้องกินยาดักไว้ก่อน

วิธีเก็บยาที่ถูกต้องเพื่อให้คงประสิทธิภาพในการรักษา

  1. ควรเก็บยาไว้ในภาชนะเดิม แผงเดิม ที่ปิดสนิท
  2. เก็บยาให้พ้นความชื้น แสงแดด และความร้อน (ควรเก็บในที่มีอุณหภูมิห้องไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส) เพราะหากอุณหภูมิสูงจะทำให้ยาเสื่อมสภาพ
  3. ควรเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ผงน้ำตาลเกลือแร่ (Oral Rehydration Salts /Electrolyte Powder Packet)

สรรพคุณ

ใช้ดื่มเพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ในร่างกายที่สูญเสียไปจากอาการท้องเสียเฉียบพลัน (อุจจาระร่วง ท้องร่วง ท้องเดิน ถ่ายท้อง)
หรืออาเจียนมากจากสาเหตุต่าง ๆ หรือใช้ในรายที่เสียเหงื่อมากก็ได้

ส่วนประกอบสำคัญ

  • สูตรยา : เป็นสูตร R.O. มีค่า osmolarity 245 mmol/L
  • ใน 1 ซองประกอบด้วย
  • กลูโคส แอนไฮดรัส  2.025 กรัม
  • โซเดียมคลอไรด์  0.390 กรัม
  • โพแทสเซียมคลอไรด์  0.225 กรัม
  • โซเดียมซิทเรตไดไฮเดรต 0.435 กรัม

คำเตือน

1.ผู้เป็นโรคไตหรือโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

2.ถ้าผู้ป่วยยังมีอาการอาเจียนมาก ตัวเย็น ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปหรือหมดสติ ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

3.อย่าละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ (แก้ท้องร่วง) ในน้ำร้อน

4.เมื่อละลายน้ำแล้วเกิน 24 ชั่วโมง ยาจะบูดเสียไม่ควรใช้

5.ไม่ควรใช้เกลือแร่ในคนไข้ที่มีภาวะท้องเสียอย่างรุนแรงซึ่งอาจจะนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ โดยอาจมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ซีด กระหายน้ำ ผิวแห้ง ปัสสาวะน้อย มีสีเข้ม สับสน แนะนำให้ควรรีบพบแพทย์

6.ไม่แนะนำให้ผสมกับนมหรือน้ำผลไม้ เนื่องจากอาจส่งผลให้ปริมาณสัดส่วนสารในสารละลายเกลือแร่เปลี่ยนแปลงได้